หลวงปู่สรวง ท่านถือเป็นเกจิอาจารย์ที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาต่อชนชาวอีสานตอนล่าง อย่างสูงตั้งแต่เมื่อครั้งยังมีชีวิตและถึงแม้ว่าท่านจะมรณภาพไปเกือบ 2 ทศวรรษก็ยังมิเสื่อมคลาย ด้วยความที่หลวงปู่สรวงท่าน สงบเงียบ พูดน้อย รักความสันโดษ จึงไม่ค่อยมีใครรู้ถึงความเป็นมาของหลวงปู่สรวง แต่ชาวบ้านจะรู้จักท่านในรูปของนักบวชเชื้อสายเขมร ธุดงค์ตามเทือกเขาพนมดงรัก ข้ามไปมาระหว่าง 2 ประเทศ ชาวบ้านเรียกขานท่านตามภาษาเขมรว่า "ลูกเอ๊าะเบ๊าะ" หรือ "ลูกตาเบ๊าะ" หมายถึงพระดาบสผู้รักษาศีลและมีเมตตาธรรมสูง แต่คนไทยเรียก "หลวงปู่สรวงเทวดาเดินดิน"
ซึ่งหากพบกับชาวบ้าน ท่านมักจะพูดและสอนว่า "ออย เตียน สรู ตึ๊กเจย" (แปลว่าให้มีสุขสบาย ข้าวดีน้ำดี อุดมสมบูรณ์ด้วยความพอเพียง) ตลอดระยะเวลา หลวงปู่สรวงจะจำวัด ณ สำนักสงฆ์แห่งหมู่บ้านไพรบึงน้อย (วัดไพรพัฒนาปัจจุบัน) กับ กระท่อมหลังเล็กๆทั่วไปตามหัวไร่ปลายนา อยู่อย่างง่ายมีเพียงแผ่นไม้กระดานไม้ปูนอนก็เป็นที่พอใจ ส่วนใหญ่มักจะชอบป่าเขาลำเนาไพรมากกว่า ในชุมชนทุกแห่งที่หลวงปู่จำวัด จะปักเสาไม้ไผ่ตั้งลำไว้ให้เห็นอย่างเด่นชัด และเอาเชือกผูกโยงระหว่างกระท่อมกับเสาหรืออาจเป็นต้นไม้ในบางครั้ง แล้วจะแขวนว่าว ขนาดใหญ่ทำด้วยจีวรหรือกระดาษ ผูกไว้เป็นสัญลักษณ์ ที่สำคัญคือจะสุมกองไฟไว้ตลอดเวลา ไม่ว่ากลางวัน หรือกลางคืนและจะถือปฏิบัติเฉกนี้เป็นเอกลักษณ์ หลวงปู่สรวง กระทั่ง 8 กันยายน 2543 ท่านมีอาการอาพาธ ศิษยานุศิษย์ได้นำส่งโรงพยาบาลสุรินทร์ หลวงปู่ได้ละสังขารก่อนถึงจุดหมาย (ก่อนสำนักสงฆ์จะเป็นวัด 6 ปี)หลวงปู่สรวง ท่านเป็นอริยสงฆ์ที่มีพลังบารมีธรรมในขั้นสูงรูปหนึ่ง แม้มิสำแดงตนในอิทธิปา-ฏิหาริย์ แต่ก็มีบางรายได้สัมผัสในความศักดิ์สิทธิ์ แล้วมาเล่าขานจากปากต่อปากจนเป็นที่เลื่องลือเลื่อมใส ในอดีตที่ผ่านเมื่อครั้งยังมีชีวิตได้ออกวัตถุมงคลหลายรุ่น และเมื่อละสังขารแล้วเหล่าศิษยานุศิษย์ก็มีการสร้างขึ้นมาเช่นกัน