ว่าด้วยความเป็นมาของหลวงปู่สรวงนั้นช่างลี้ลับ ไม่มีใครรู้ทราบแท้จริงว่าท่านคือใคร บ้างต่างก็ร่ำลือว่าท่านเป็นพระเจ้าชัยวรมันพระองค์หนึ่ง บ้างก็ว่าสันนิษฐานกันไปต่างๆนาๆ บางคนเชื่อว่าท่านคือขรัวขี้เถ้าหนึ่งในคณะโลกอุดรที่ร่ำลือกัน แต่ที่แน่ๆคือหลวงปู่สรวงนั้นมีอายุยืนยาวมาหลายร้อยปีแล้ว เห็นกันมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ย่าตายาย หลวงปู่สรวงท่านมีอายุเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 275 ปีอย่างแน่นอน อีกทั้งท่านยังมีฤทธิ์ปาฏิหารย์เป็นที่อัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็น เช่น การหุงข้าวด้วยหม้อเล็กนิดเดียว แต่สามารถแจกจ่ายให้กับชาวบ้านได้เท่าไหร่ก็ไม่หมด สามารถเดินหนย่นระยะทาง มีความสามารถแบบผู้ทรงอภิญญาสมาบัติอย่างน่าอัศจรรย์ รู้เห็นมิติต่างๆ เข้าออกดินแดนลี้ลับไปมาอย่างอัศจรรย์ยิ่ง
ในอดีตที่ผ่านมาเคยมีทั้งพระและฆราวาสที่ได้ร่วมเดินทางเข้าสู่ดินแดนลี้ลับแห่งเขมรและเป็นประจักษ์พยานถึงสิ่งลี้ลับในโลกที่ซ่อนเร้นสายตามนุษย์ปุถุชนทั้งหลาย เช่น ดินแดนที่มีแต่ทองคำและเพชรพลอยงอกออกมาจากดินอยู่ตามแม่น้ำลำธารอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อเอามือไปหยิบจับดู ทองคำที่งอกออกมาจากดินนั้นก็อ่อนนิ่มคล้ายเทียนโดนไฟลน แต่กลับไม่สามารถดึงให้ขาดได้ เป็นเรื่องน่าแปลกอย่างยิ่งซึ่งหลวงปู่สรวง ท่านจะบอกกับคณะลูกศิษย์ที่คอยติดตามท่านไป ว่ามันเป็นของเขา เพียงคำเดียวเท่านี้ คำว่าของเขา อาจหมายถึงเป็นของธรรมชาติ เป็นสมบัติของแผ่นดินเป็นของผู้มีบุญญาธิการเท่านั้น ดังนั้นผู้ที่ไปกับท่านจึงได้แต่ดู และเก็บเรื่องราวเหล่านี้ไว้เพียงในความทรงจำเท่านั้น เพียงเท่านี้ก็เป็นถือว่าเป็นบุญวาสนาของชีวิตแล้วที่ได้เห็นของจริงว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็นอีกมากมาย ในช่วงระยะเวลาที่หลวงปู่สรวง ท่านได้โปรดลูกหลานนั้น ท่านได้แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างของผู้ละซึ่งทางโลก ทั้งแสดงความจริงอันเป็นไปตามพระหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาหลวงปู่สรวง ท่านจะพูดน้อย แต่การกระทำของท่านยิ่งกว่าคำพูดเป็นหมื่นเป็นแสนล้านคำ หลวงปู่สรวง ท่านเป็นพระผู้พ้นไปจากโลกและความนึกคิดของปุถุชน ท่านเป็นผู้มีจิตเมตตา และเป็นแสงสว่างให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นที่พึ่งให้กับผู้ที่ยังเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์ ท่านเป็นพระผู้ซึ่งพ้นโลก เป็นพระผู้อยู่เหนือสมมุติทางโลกรวมทั้งความตายทั้งปวง